เมล็ดแฟลกซ์ ( Flaxseed ) : Super Food สุดทรงพลังเพื่อสุขภาพหัวใจและระบบย่อยอาหาร

ราคาเมล็ดแฟลกซ์

เมล็ดแฟลกซ์ แบบเต็มเมล็ด : ราคาโดยประมาณ 100 กรัม 41-49 บาท / ราคาโดยประมาณ 1 กิโลกรัม 176 บาท

เมล็ดแฟลกซ์ แบบบด : ราคาโดยประมาณ 100 กรัม 75-79 บาท / ราคาโดยประมาณ 1 กิโลกรัม 369 บาท

* ราคา ณ เดือน พฤษภาคม 2567 *

** สามารถบดด้วยเครื่องบดของร้าน DXFILL ได้ทุกรุ่น **

ลักษณะทั่วไปของเมล็ดแฟลกซ์

เมล็ดแฟลกซ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Flaxseed (Linum usitatissimum) เป็นเมล็ดพืชที่มีขนาดเล็ก รูปทรงเรียว และมีสีที่แตกต่างกันไปตามพันธุ์ ส่วนใหญ่จะมีสีน้ำตาลหรือสีทอง มีรสชาติที่ค่อนข้างนุ่มนวลและมีกลิ่นหอมเบา เมล็ดแฟลกซ์ เป็นที่รู้จักมานานในวงการโภชนาการและสุขภาพเนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูง และสามารถใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารหลายชนิด

เมล็ดแฟลกซ์เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเสริมสร้างสุขภาพ

ลักษณะทางกายภาพของต้นแฟลกซ์

เมล็ดแฟลกซ์ (Flax plant) หรือที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Linum usitatissimum เป็นพืชที่มีลักษณะเด่นดังนี้

1. ลำต้น

   – ลำต้นของต้นแฟลกซ์เป็นทรงตั้งตรง มีความสูงประมาณ 0.6-1.2 เมตร

   – ลำต้นมีลักษณะบางและเป็นทรงกระบอก มีสีเขียวและมักมีขนเล็กๆ ปกคลุม

2. ใบ

   – ใบของต้นแฟลกซ์มีลักษณะเรียวยาวและแคบ มีความยาวประมาณ 2.5-4 เซนติเมตร

   – ใบมีสีเขียวอ่อนและเรียบ ไม่มีขน

3. ดอก

   – ดอกแฟลกซ์มีลักษณะเป็นช่อดอกที่ปลายยอดของลำต้น ช่อดอกมีดอกย่อยหลายดอก

   – ดอกมีขนาดเล็กและมีสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน

   – ดอกแฟลกซ์บานในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูร้อน

4. เมล็ด

   – เมล็ดแฟลกซ์มีขนาดเล็กประมาณ 4-6 มิลลิเมตร มีลักษณะรีและแบน

   – สีของเมล็ดมีสีน้ำตาลหรือสีทองตามพันธุ์

   – เมล็ดแฟลกซ์จะถูกเก็บเกี่ยวเมื่อพืชเริ่มแห้งและเมล็ดมีความสมบูรณ์

 การปลูกและการดูแล

ต้นแฟลกซ์สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม การปลูกและการดูแลต้นแฟลกซ์มีขั้นตอนดังนี้

1. การเตรียมดิน

   – ต้นแฟลกซ์ชอบดินที่มีการระบายน้ำดีและมีความอุดมสมบูรณ์

   – ควรเตรียมดินโดยการพรวนดินให้ละเอียดและใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มสารอาหารในดิน

2. การปลูก

   – ควรปลูกเมล็ดแฟลกซ์ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเมื่ออุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น

   – หว่านเมล็ดแฟลกซ์ในแถวที่มีระยะห่างประมาณ 20-30 เซนติเมตร

   – เมล็ดแฟลกซ์จะงอกในเวลา 10-14 วัน

3. การรดน้ำ

   – ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโต แต่ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำขัง

4. การดูแล

   – ต้นแฟลกซ์ไม่ต้องการการดูแลมากนัก แต่ควรตรวจสอบและกำจัดวัชพืชที่ขึ้นร่วมกับต้นแฟลกซ์

   – ควรใส่ปุ๋ยเสริมเป็นระยะเพื่อให้พืชได้รับสารอาหารเพียงพอ

 ประโยชน์ทางโภชนาการ ของเมล็ดแฟลกซ์

เมล็ดแฟลกซ์มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น

1. กรดไขมันโอเมก้า-3 (ALA)

   – เมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งที่ดีของกรดอัลฟา-ไลโนเลนิก (ALA) ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมสุขภาพหัวใจ

2. ไฟเบอร์

   – เมล็ดแฟลกซ์มีไฟเบอร์สูงทั้งชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ไฟเบอร์ช่วยส่งเสริมการย่อยอาหารและป้องกันการเกิดท้องผูก

3. โปรตีน

   – เมล็ดแฟลกซ์มีโปรตีนคุณภาพสูงที่เหมาะสำหรับการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย

4. ลิกแนน (Lignans)

   – เมล็ดแฟลกซ์มีลิกแนนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง

5. แร่ธาตุและวิตามิน

   – เมล็ดแฟลกซ์อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และแคลเซียม รวมถึงวิตามินบีและวิตามินอี

ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลายและประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เมล็ดแฟลกซ์จึงเป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับการเสริมสร้างสุขภาพและโภชนาการที่สมดุล

ประโยชน์ต่อสุขภาพของเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed)

เมล็ดแฟลกซ์เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ เนื่องจากมีสารอาหารที่สำคัญและมีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพในหลายๆ ด้าน มาดูกันว่าเมล็ดแฟลกซ์มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

1. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ

   – กรดไขมันโอเมก้า-3 (ALA) ในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL)

   – ช่วยลดความดันโลหิตและลดการอักเสบ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

2. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

   – เมล็ดแฟลกซ์มีไฟเบอร์สูงที่ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่

   – มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวานในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

3. ส่งเสริมการย่อยอาหาร

   – ไฟเบอร์ในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระและส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร

   – ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก ทำให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

4. ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

   – ลิกแนน (Lignans) ในเมล็ดแฟลกซ์มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้

   – การบริโภคเมล็ดแฟลกซ์ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ

5. ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก

   – ไฟเบอร์สูงในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วและนานขึ้น ลดความอยากอาหาร

   – ช่วยในการควบคุมน้ำหนักและส่งเสริมการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ

6. ส่งเสริมสุขภาพผิวและผม

   – กรดไขมันโอเมก้า-3 ในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และลดการเกิดริ้วรอย

   – สารอาหารในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของเส้นผม ทำให้ผมแข็งแรงและเงางาม

7. บรรเทาอาการร้อนวูบวาบในวัยหมดประจำเดือน

   – ลิกแนนในเมล็ดแฟลกซ์มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบและอาการไม่สบายต่างๆ ในวัยหมดประจำเดือน

8. ส่งเสริมสุขภาพกระดูก

   – เมล็ดแฟลกซ์อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เช่น แมกนีเซียมและแคลเซียม ที่สำคัญต่อการเสริมสร้างและรักษาความแข็งแรงของกระดูก

   – ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน

9. ปรับสมดุลฮอร์โมน

   – ลิกแนนในเมล็ดแฟลกซ์มีบทบาทในการปรับสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย

   – มีประโยชน์ต่อผู้หญิงในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในช่วงวัยหมดประจำเดือน

10. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

    – เมล็ดแฟลกซ์มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

    – ช่วยป้องกันการติดเชื้อและโรคต่างๆ

วิธีการบริโภคเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed)

เมล็ดแฟลกซ์สามารถบริโภคได้ทั้งแบบบดและไม่บด แต่ละวิธีมีข้อดีและประโยชน์ที่แตกต่างกัน มาดูกันว่าเมล็ดแฟลกซ์ ทั้งสองรูปแบบนี้มีวิธีการบริโภคและข้อควรระวังอย่างไรบ้าง

 เมล็ดแฟลกซ์แบบไม่บด

1. ใส่ในโยเกิร์ตหรือซีเรียล

   – โรยเมล็ดแฟลกซ์ทั้งเมล็ดในโยเกิร์ตหรือซีเรียลเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ

2. ใส่ในสลัด

   – โรยเมล็ดแฟลกซ์ในสลัดเพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัสและสารอาหาร

3. ใส่ในสมูทตี้

   – ผสมเมล็ดแฟลกซ์ทั้งเมล็ดในสมูทตี้เพื่อเพิ่มไฟเบอร์และโอเมก้า-3

4. ใส่ในขนมปังและขนมอบ

   – ใส่เมล็ดแฟลกซ์ทั้งเมล็ดในสูตรขนมปัง ขนมอบ หรือมัฟฟินเพื่อเพิ่มความกรอบและคุณค่าทางโภชนาการ

 เมล็ดแฟลกซ์แบบบด

1. ใส่ในเครื่องดื่ม

   – ผสมเมล็ดแฟลกซ์บดในน้ำผลไม้หรือน้ำเปล่าเพื่อเพิ่มสารอาหาร

2. ใส่ในโยเกิร์ตหรือสมูทตี้

   – ผสมเมล็ดแฟลกซ์บดในโยเกิร์ตหรือสมูทตี้เพื่อเพิ่มไฟเบอร์และโปรตีน

3. ใส่ในซุปหรือซอส

   – ใส่เมล็ดแฟลกซ์บดในซุปหรือซอสเพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัสและคุณค่าทางโภชนาการ

4. ใช้แทนไข่ในการอบขนม

   – ใช้เมล็ดแฟลกซ์บดผสมน้ำแทนไข่ในสูตรขนมอบเพื่อเพิ่มไฟเบอร์และโอเมก้า-3 โดยใช้เมล็ดแฟลกซ์บด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 3 ช้อนโต๊ะ แทนไข่ 1 ฟอง

การทานเมล็ดแฟลกซ์ แบบบด มีผลต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร

การบดเมล็ดแฟลกซ์เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเนื่องจากมีผลต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารในร่างกาย มาดูกันว่าการบดเมล็ดแฟลกซ์ส่งผลอย่างไรบ้าง

 การทานแบบบด

1. เพิ่มการดูดซึมสารอาหาร

   – เมล็ดแฟลกซ์มีเปลือกที่แข็ง ซึ่งอาจทำให้ยากต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร หากบริโภคทั้งเมล็ด

   – การบดเมล็ดแฟลกซ์ช่วยให้เปลือกแตกออก ทำให้ร่างกายสามารถเข้าถึงและดูดซึมสารอาหารที่มีอยู่ภายในเมล็ดได้ดียิ่งขึ้น เช่น กรดไขมันโอเมก้า-3 ไฟเบอร์ โปรตีน และลิกแนน

   – สารอาหารสำคัญอย่างกรดไขมันโอเมก้า-3 (ALA) จะถูกดูดซึมได้ดีกว่ามากเมื่อเมล็ดแฟลกซ์ถูกบด

2. การย่อยและการดูดซึมที่มีประสิทธิภาพ

   – การบริโภคเมล็ดแฟลกซ์ที่ไม่บดอาจทำให้เมล็ดผ่านทางระบบย่อยอาหารโดยไม่ถูกย่อย ทำให้ร่างกายไม่ได้รับประโยชน์จากสารอาหารที่อยู่ภายใน

   – เมล็ดแฟลกซ์บดทำให้เอนไซม์ในระบบย่อยอาหารสามารถเข้าถึงและย่อยสลายสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายสามารถนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่

 เมล็ดแฟลกซ์แบบไม่บด

1. การย่อยยากขึ้น

   – เมล็ดแฟลกซ์ที่ไม่บดมีเปลือกที่แข็ง ทำให้ร่างกายย่อยได้ยากขึ้น

   – หากบริโภคเมล็ดแฟลกซ์ทั้งเมล็ด อาจทำให้เมล็ดผ่านทางระบบย่อยอาหารโดยไม่ถูกย่อย ทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่มีอยู่ภายใน

2. การใช้เมล็ดแฟลกซ์ทั้งเมล็ด

   – เมล็ดแฟลกซ์ทั้งเมล็ดยังคงมีประโยชน์ในแง่ของการเพิ่มไฟเบอร์ในอาหาร ช่วยให้รู้สึกอิ่มและส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร

   – การใช้เมล็ดแฟลกซ์ทั้งเมล็ดในอาหารเช่นโยเกิร์ต ซีเรียล หรือสลัด สามารถเพิ่มเนื้อสัมผัสและความกรอบได้

 สรุป

การบดเมล็ดแฟลกซ์จะทำให้ร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ดีกว่า เนื่องจากการบดช่วยทำลายเปลือกแข็งของเมล็ด ทำให้เอนไซม์ในระบบย่อยอาหารสามารถเข้าถึงสารอาหารที่อยู่ภายในเมล็ดได้ การบริโภคเมล็ดแฟลกซ์แบบบดจึงเป็นวิธีที่แนะนำเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากสารอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดแฟลกซ์

อย่างไรก็ตาม หากต้องการเพิ่มไฟเบอร์ในอาหารและเพิ่มเนื้อสัมผัส เมล็ดแฟลกซ์แบบไม่บดก็ยังคงมีประโยชน์ การเลือกบริโภคเมล็ดแฟลกซ์ในรูปแบบใดขึ้นอยู่กับความสะดวกและวัตถุประสงค์ในการใช้งาน

 ข้อควรระวัง

1. การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม

   – แม้ว่าเมล็ดแฟลกซ์จะมีประโยชน์มาก แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะต่อวัน เนื่องจากการบริโภคในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาทางระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืดหรือท้องผูก

2. ดื่มน้ำเพียงพอ

   – เมล็ดแฟลกซ์มีไฟเบอร์สูง ควรดื่มน้ำเพียงพอเมื่อบริโภคเมล็ดแฟลกซ์เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี

3. การเก็บรักษา

   – เมล็ดแฟลกซ์บดควรเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทและเก็บในตู้เย็นเพื่อป้องกันการเกิดออกซิเดชันและการเหม็นหืน

4. การปรึกษาแพทย์

   – ผู้ที่มีปัญหาในการย่อยอาหารหรือมีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคเมล็ดแฟลกซ์

เมล็ดแฟลกซ์เป็นอาหารที่มีประโยชน์และสามารถนำมาใช้ได้หลากหลายวิธี การบริโภคเมล็ดแฟลกซ์ทั้งแบบบดและไม่บดขึ้นอยู่กับความสะดวกและวิธีการใช้งานที่ต้องการ ไม่ว่าจะเลือกบริโภคแบบใด เมล็ดแฟล็กก็ยังคงเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

สารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed)

เมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระและช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในเมล็ดแฟลกซ์ได้แก่

 1. ลิกแนน (Lignans)

– ลิกแนน เป็นสารไฟโตเอสโตรเจนที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูง ในเมล็ดแฟลกซ์มีลิกแนนสูงถึง 800 เท่าของพืชอื่น ๆ

– ลิกแนนช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้

– นอกจากนี้ ลิกแนนยังมีผลดีต่อสุขภาพหัวใจและฮอร์โมน โดยช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย

 2. กรดฟีนอลิก (Phenolic Acids)

– เมล็ดแฟลกซ์มีกรดฟีนอลิกหลายชนิด ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง

– กรดฟีนอลิกช่วยลดการอักเสบและป้องกันความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ

 3. โทโคฟีรอล (Tocopherols)

– เมล็ดแฟลกซ์มีวิตามินอีในรูปของโทโคฟีรอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ

– โทโคฟีรอลช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของไขมันในร่างกายและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

 4. กรดแกลลิก (Gallic Acid)

– กรดแกลลิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในเมล็ดแฟลกซ์ที่มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและปกป้องเซลล์จากความเสียหาย

 5. กรดคาเฟอิก (Caffeic Acid)

– กรดคาเฟอิกมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

– นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ

 6. แอนโทไซยานิน (Anthocyanins)

– แอนโทไซยานินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในเมล็ดแฟลกซ์ในปริมาณเล็กน้อย

– มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์

 ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดแฟลกซ์

1. ปกป้องเซลล์จากความเสียหาย

   – สารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคเรื้อรังและการเสื่อมสภาพของเซลล์

2. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง

   – สารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้

3. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ

   – สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดออกซิเดชันของไขมันในร่างกาย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

4. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

   – สารต้านอนุมูลอิสระช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการป้องกันโรคและการติดเชื้อได้ดียิ่งขึ้น

เมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ การบริโภคเมล็ดแฟลกซ์เป็นส่วนหนึ่งของอาหารประจำวันสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังและเสื่อมสภาพของเซลล์ และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

แร่ธาตุต่าง ๆ ในเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed)

เมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งของแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายหลายชนิด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพและการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย มาดูกันว่าเมล็ดแฟลกซ์มีแร่ธาตุชนิดใดบ้างและมีประโยชน์อย่างไร

 1. แคลเซียม (Calcium)

– ประโยชน์ แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างและรักษาความแข็งแรงของกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท

– ปริมาณในเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์มีแคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง

 2. แมกนีเซียม (Magnesium)

– ประโยชน์ แมกนีเซียมช่วยในการทำงานของเอนไซม์หลายชนิดในร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการผลิตพลังงาน การสังเคราะห์โปรตีน และการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท

– ปริมาณในเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ

 3. ฟอสฟอรัส (Phosphorus)

– ประโยชน์ ฟอสฟอรัสเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเซลล์ ช่วยในการผลิตพลังงานและทำงานร่วมกับแคลเซียมเพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟัน

– ปริมาณในเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์มีฟอสฟอรัสในปริมาณสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง

 4. เหล็ก (Iron)

– ประโยชน์ เหล็กเป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการผลิตเฮโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดงที่ช่วยในการขนส่งออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย

– ปริมาณในเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์มีเหล็กในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง

 5. สังกะสี (Zinc)

– ประโยชน์ สังกะสีมีบทบาทสำคัญในการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยในการรักษาบาดแผล

– ปริมาณในเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์มีสังกะสีที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพผิว

 6. โพแทสเซียม (Potassium)

– ประโยชน์ โพแทสเซียมช่วยในการควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท รวมถึงการควบคุมความดันโลหิต

– ปริมาณในเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ช่วยรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย

 7. ทองแดง (Copper)

– ประโยชน์ ทองแดงเป็นแร่ธาตุที่ช่วยในการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ เสริมสร้างการผลิตพลังงาน และการทำงานของระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกัน

– ปริมาณในเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์มีทองแดงที่ช่วยในการผลิตพลังงานและการทำงานของระบบประสาท

 8. แมงกานีส (Manganese)

– ประโยชน์ แมงกานีสมีบทบาทในการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญอาหาร การสร้างกระดูก และการทำงานของระบบประสาท

– ปริมาณในเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์มีแมงกานีสที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเอนไซม์และการสร้างกระดูก

 9. ซีลีเนียม (Selenium)

– ประโยชน์ ซีลีเนียมเป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันและการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการเกิดออกซิเดชัน

– ปริมาณในเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์มีซีลีเนียมที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและการป้องกันการเกิดออกซิเดชัน

ลักษณะของโปรตีนในเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed)

เมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูงที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ด้วยลักษณะเฉพาะและคุณสมบัติที่ดีต่าง ๆ ดังนี้

 1. โปรตีนคอมเพล็กซ์ (Complete Protein)

– เมล็ดแฟลกซ์มีกรดอะมิโนจำเป็นหลายชนิด แต่ไม่ครบทุกชนิด โปรตีนในเมล็ดแฟลกซ์เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งหมายความว่ามันมีกรดอะมิโนจำเป็นหลายชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้และต้องได้รับจากอาหาร ได้แก่

  – อาร์จินีน (Arginine)

  – กลูตามีน (Glutamine)

  – และกรดอะมิโนอื่น ๆ

 2. โปรตีนจากพืช (Plant-Based Protein)

– โปรตีนในเมล็ดแฟลกซ์เป็นโปรตีนจากพืช ทำให้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์หรือมีอาหารแบบมังสวิรัติหรือวีแกน

– การบริโภคโปรตีนจากพืชมีประโยชน์หลายประการ เช่น ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังบางชนิด รวมถึงโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งบางชนิด

 3. การย่อยและดูดซึมง่าย

– โปรตีนในเมล็ดแฟลกซ์มีอัตราการย่อยและดูดซึมสูง ทำให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

– การบดเมล็ดแฟลกซ์ช่วยเพิ่มการย่อยและการดูดซึมโปรตีน ทำให้ร่างกายสามารถเข้าถึงและใช้สารอาหารได้ดีขึ้น

 4. ปราศจากกลูเตน (Gluten-Free)

– เมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งโปรตีนที่ปราศจากกลูเตน ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่แพ้หรือมีความไวต่อกลูเตน (gluten intolerance) เช่นผู้ที่เป็นโรคเซลิแอค (Celiac disease)

 5. ส่งเสริมการสร้างกล้ามเนื้อและการฟื้นฟูร่างกาย

– โปรตีนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย รวมถึงกล้ามเนื้อ

– การบริโภคโปรตีนจากเมล็ดแฟลกซ์สามารถช่วยในการฟื้นฟูร่างกายหลังจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่หนัก

 6. การควบคุมน้ำหนัก

– โปรตีนในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ลดความอยากอาหารและส่งเสริมการควบคุมน้ำหนัก

– นอกจากนี้ เมล็ดแฟลกซ์ยังมีไฟเบอร์สูงซึ่งช่วยในการย่อยอาหารและการขับถ่าย

 7. ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ

– เมล็ดแฟลกซ์เป็นอาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีหรือการดัดแปลงพันธุกรรม ทำให้เป็นแหล่งโปรตีนที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ

ลักษณะไขมันในเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed)

เมล็ดแฟลกซ์มีไขมันที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ มาดูรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของไขมันในเแฟลกซ์กัน

 1. กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids)

– กรดอัลฟา-ไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic Acid หรือ ALA) เมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งที่ดีที่สุดของกรดอัลฟา-ไลโนเลนิก ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่จำเป็นต่อร่างกาย

  – ประโยชน์ ALA มีบทบาทสำคัญในการลดการอักเสบ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ส่งเสริมการทำงานของสมอง และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด

 2. กรดไขมันโอเมก้า-6 (Omega-6 Fatty Acids)

– กรดไลโนเลอิก (Linoleic Acid) เป็นกรดไขมันโอเมก้า-6 ที่จำเป็นต่อร่างกายและมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาของเซลล์

  – ประโยชน์ ช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาของเซลล์ แต่ควรบริโภคในสัดส่วนที่เหมาะสมกับกรดไขมันโอเมก้า-3 เพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล

 3. กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acids)

– เมล็ดแฟลกซ์มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ

  – ประโยชน์ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ

 4. กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acids)

– เมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

ประโยชน์ของไขมันในเมล็ดแฟลกซ์

1. สุขภาพหัวใจ

– กรดไขมันโอเมก้า-3 (ALA) ในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL)

– ALA ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือด ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

– ช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคหัวใจ

2. การทำงานของสมองและระบบประสาท

– กรดไขมันโอเมก้า-3 มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างการทำงานของสมองและระบบประสาท

– ช่วยปรับปรุงความจำ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคสมองเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์

– ช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และสมาธิ

3. การลดการอักเสบ

– กรดไขมันโอเมก้า-3 ในเมล็ดแฟลกซ์มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย

– ช่วยบรรเทาอาการของโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง

4. สุขภาพผิว

   – กรดไขมันโอเมก้า-3 ในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและลดการเกิดริ้วรอย   – สารอาหารในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของเส้นผม ทำให้ผมแข็งแรงและเงางาม

5. การควบคุมน้ำหนัก

– กรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยในการควบคุมน้ำหนักโดยการเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย

– ช่วยลดความอยากอาหารและเพิ่มความรู้สึกอิ่มนานขึ้น ทำให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 6. การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

– กรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการป้องกันโรคและการติดเชื้อได้ดียิ่งขึ้น

– ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังและโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน

 7. การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

– กรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยการเพิ่มความไวต่ออินซูลิน

– มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวานในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

 8. การส่งเสริมสุขภาพกระดูก

– กรดไขมันโอเมก้า-3 มีบทบาทในการเสริมสร้างและรักษาสุขภาพกระดูก- ช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูกและเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก

ความนิยมในการรับประทานเมล็ดแฟลกซ์เพื่อต้านทานโรคต่าง ๆ

เมล็ดแฟลกซ์ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีคุณสมบัติที่ช่วยต้านทานโรคต่าง ๆ การวิจัยหลายชิ้นได้ยืนยันถึงประโยชน์ของการบริโภคเมล็ดแฟลกซ์ในการป้องกันและบรรเทาอาการของโรคต่าง ๆ ดังนี้

 1. โรคหัวใจและหลอดเลือด

– การลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์

  – การบริโภคเมล็ดแฟลกซ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

  – กรดไขมันโอเมก้า-3 (ALA) ในเมล็ดแฟลกซ์มีบทบาทในการลดการอักเสบในหลอดเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

– การลดความดันโลหิต

  – การบริโภคเมล็ดแฟลกซ์เป็นประจำช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง

 2. โรคเบาหวาน

– การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

  – ไฟเบอร์ในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลคงที่และลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

  – มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวานในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

– การปรับปรุงความไวต่ออินซูลิน

  – เมล็ดแฟลกซ์ช่วยปรับปรุงความไวต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการโรคเบาหวานประเภท 2

 3. การลดน้ำหนักและการควบคุมน้ำหนัก

– การลดความอยากอาหาร

  – ไฟเบอร์ในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ลดความอยากอาหารและส่งเสริมการควบคุมน้ำหนัก

– การเพิ่มพลังงานและการเผาผลาญ

  – เมล็ดแฟลกซ์มีโปรตีนสูงและไขมันดี ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานและการเผาผลาญ ช่วยในการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ

 4. โรคข้ออักเสบและการอักเสบ

– การลดการอักเสบ

  – กรดไขมันโอเมก้า-3 ในเมล็ดแฟลกซ์มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการข้ออักเสบและการอักเสบในร่างกาย

  – ช่วยบรรเทาอาการของโรคเรื้อรังเช่นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

 5. สุขภาพทางเดินอาหาร

– การส่งเสริมการย่อยอาหาร

  – ไฟเบอร์สูงในเมล็ดแฟลกซ์ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารและป้องกันการเกิดท้องผูก

– การปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้

  – ไฟเบอร์ในเมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งอาหารที่ดีสำหรับจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ทำให้สมดุลของจุลินทรีย์ดีขึ้น ส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร

 6. โรคมะเร็ง

– การป้องกันการเกิดมะเร็ง

  – สารลิกแนน (Lignans) ในเมล็ดแฟลกซ์มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้

  – การบริโภคเมล็ดแฟลกซ์ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ

 ตัวอย่างการวิจัย

– การวิจัยเกี่ยวกับการลดความดันโลหิต

  – มีการศึกษาที่พบว่าการบริโภคเมล็ดแฟลกซ์เป็นประจำช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงได้

– การวิจัยเกี่ยวกับการควบคุมน้ำตาลในเลือด

  – การศึกษาพบว่าเมล็ดแฟลกซ์สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2

– การวิจัยเกี่ยวกับการลดระดับคอเลสเตอรอล

  – การศึกษาหลายชิ้นพบว่าการบริโภคเมล็ดแฟลกซ์ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

 สรุป : จากการวิจัยและประสบการณ์ของผู้บริโภค เมล็ดแฟลกซ์มีศักยภาพในการช่วยฟื้นฟูและป้องกันโรคหลายชนิด การบริโภคเมล็ดแฟลกซ์เป็นส่วนหนึ่งของอาหารประจำวันจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมและป้องกันโรคเรื้อรัง

error: Content is protected !!