ราคาเมล็ดควินัว ( คินัว )
ขนาด 1 kg ราคาประมาณ 145-346 บาท
*ราคา ณ เดือนพฤษภาคม 2024*
ลักษณะทางกายภาพ ต้นควินัว

ควินัว (Quinoa) ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Chenopodium quinoa เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ภูเขาแอนดีสของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศเปรู โบลิเวีย เอกวาดอร์ และชิลี ควินัวเป็นพืชที่สำคัญเนื่องจากเมล็ดของมันถูกนำมาใช้เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ลักษณะของต้นควินัวมีดังนี้
1. ลำต้น ลำต้นของควินัวมีความสูงประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีลักษณะตรงและแข็งแรง บางพันธุ์อาจมีลำต้นสีเขียว สีม่วง หรือสีแดง ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
2. ใบ ใบของควินัวมีลักษณะรูปหัวใจถึงรูปไข่ มีขอบใบเป็นหยัก ใบมีสีเขียวเข้มและมีลักษณะค่อนข้างหยาบ ใบอาจมีขนหรือไม่มีขน
3. ดอก ดอกควินัวเป็นดอกช่อที่มีลักษณะคล้ายพู่ มีสีเขียว สีแดง หรือสีเหลือง ดอกของควินัวจะบานในช่วงฤดูร้อน
4. เมล็ด เมล็ดควินัวมีขนาดเล็กและกลม มีสีหลากหลายเช่น ขาว เหลือง แดง ดำ หรือสีน้ำตาล เมล็ดควินัวมีเปลือกหุ้มที่เรียกว่า “saponin” ซึ่งมีรสขม จึงต้องล้างเมล็ดก่อนการบริโภค
5. ระบบราก รากของควินัวเป็นรากแก้วและมีรากแขนงที่แผ่กระจายออกไป ระบบรากที่แข็งแรงช่วยให้ควินัวสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินที่แห้งและมีน้ำน้อย
ควินัวได้รับความนิยมในการบริโภคเนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลายชนิด นอกจากนี้ยังเป็นพืชที่ปราศจากกลูเตน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตนหรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควินัวยังสามารถนำไปปรุงอาหารในหลากหลายรูปแบบ เช่น การต้ม การอบ หรือการนำมาใช้แทนข้าวหรือพาสต้า
ลักษณะของเมล็ดควินัว

เมล็ดควินัว (Quinoa) มีลักษณะและคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ ซึ่งทำให้มันเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นที่นิยมในการบริโภคทั่วโลก ลักษณะทั่วไปของเมล็ดควินัวมีดังนี้
1. ขนาดและรูปร่าง เมล็ดควินัวมีขนาดเล็ก ประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตรในเส้นผ่านศูนย์กลาง รูปร่างกลมและแบนเล็กน้อย
2. สี เมล็ดควินัวมีหลายสี เช่น ขาว เหลือง แดง ดำ และน้ำตาล สีของเมล็ดไม่ส่งผลต่อคุณค่าทางโภชนาการมากนัก แต่บางครั้งอาจมีผลต่อรสชาติและเนื้อสัมผัสเล็กน้อย
3. เปลือกเมล็ด เมล็ดควินัวมีเปลือกหุ้มที่เรียกว่า “saponin” ซึ่งมีรสขมและทำหน้าที่ป้องกันศัตรูพืช เมื่อต้องการบริโภค ควรล้างเมล็ดให้สะอาดเพื่อขจัด saponin ออกไป
4. เนื้อในเมล็ด เนื้อในเมล็ดควินัวมีความหนาแน่นและมีโปรตีนสูง ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แมกนีเซียม เหล็ก และสังกะสี
5. เนื้อสัมผัสหลังการปรุง เมื่อปรุงสุก เมล็ดควินัวจะมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มนวลและมีรสชาติเบาบาง มักใช้แทนข้าวหรือพาสต้าในเมนูต่างๆ
6. การปรุงอาหาร เมล็ดควินัวสามารถนำไปต้ม อบ หรือใช้ในการทำอาหารหลากหลาย เช่น สลัด ซุป และขนมหวาน การปรุงเมล็ดควินัวให้สุกนั้นใช้เวลาเพียงประมาณ 15-20 นาที โดยต้องต้มในน้ำหรือน้ำซุปในอัตราส่วนเมล็ดต่อน้ำประมาณ 12
7. คุณค่าทางโภชนาการ เมล็ดควินัวถือเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสูง ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่พบในธัญพืชชนิดอื่น นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์สูง ช่วยในการย่อยอาหารและควบคุมน้ำหนัก
ประโยชน์ทางด้านโภชนาการ
1. โปรตีนคุณภาพสูง ควินัวเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพสูงและสมบูรณ์ ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่หาได้ยากในพืชชนิดอื่น ๆ โปรตีนในควินัวช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
2. ไฟเบอร์สูง ควินัวมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารและป้องกันท้องผูก นอกจากนี้ไฟเบอร์ยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดและลดระดับคอเลสเตอรอล
3. วิตามินและแร่ธาตุ ควินัวเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี ฟอสฟอรัส และวิตามินบี นอกจากนี้ยังมีโฟเลตซึ่งสำคัญต่อการสร้างเซลล์ใหม่และการทำงานของสมอง
4. กรดไขมันที่มีประโยชน์ ควินัวมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไขมันโอเมก้า 6 ซึ่งช่วยลดการอักเสบและสนับสนุนสุขภาพหัวใจ
5. ปราศจากกลูเตน ควินัวเป็นพืชที่ปราศจากกลูเตน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะแพ้กลูเตนหรือผู้ที่ต้องการลดการบริโภคกลูเตน
6. สารต้านอนุมูลอิสระ ควินัวมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เควอซิทิน และเคมเฟอรอล ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง
7. ช่วยควบคุมน้ำหนัก ด้วยโปรตีนและไฟเบอร์ที่สูง ควินัวช่วยให้รู้สึกอิ่มนานและลดการบริโภคแคลอรี่ ซึ่งมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
8. ปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด การบริโภคควินัวช่วยในการควบคุมน้ำตาลในเลือด เนื่องจากมีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low Glycemic Index) ทำให้เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด
9. ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ควินัวมีแคลเซียมและแมกนีเซียมสูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
ประโยชน์ด้านสุขภาพ

1. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลายชนิด ควินัวช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านเชื้อโรคและการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
2. บำรุงหัวใจ ควินัวมีกรดไขมันที่ดีต่อหัวใจ เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6 รวมถึงไฟเบอร์ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
3. ควบคุมน้ำหนัก ควินัวมีไฟเบอร์สูงและโปรตีนที่ช่วยให้อิ่มนาน ลดความหิวและการกินจุบจิบ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมน้ำหนัก
4. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควินัวมีดัชนีน้ำตาลต่ำ ซึ่งหมายความว่าการบริโภคควินัวจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2
5. ส่งเสริมการย่อยอาหาร ไฟเบอร์ในควินัวช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก และส่งเสริมสุขภาพลำไส้
6. บำรุงกระดูกและฟัน ด้วยแคลเซียมและแมกนีเซียมที่มีอยู่ในควินัว การบริโภคควินัวช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
7. ลดการอักเสบ ควินัวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง และโรคข้ออักเสบ
8. ส่งเสริมสุขภาพสมอง วิตามินบีและโฟเลตในควินัวมีบทบาทสำคัญในการบำรุงสมองและระบบประสาท ช่วยเสริมสร้างความจำและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์
9. ปรับสมดุลของฮอร์โมน ควินัวมีคุณสมบัติช่วยในการปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน
10. เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะแพ้กลูเตน ควินัวปราศจากกลูเตน ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่แพ้กลูเตนหรือมีภาวะเซลิแอค (Celiac Disease)
11. เสริมสร้างพลังงาน ควินัวเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานดีเยี่ยม ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดวัน
วิธีรับประทานเมล็ดควินัว

การบริโภคควินัว (Quinoa) สามารถทำได้หลากหลายวิธี เนื่องจากควินัวเป็นอาหารที่มีความยืดหยุ่นในการปรุงและสามารถนำมาใช้แทนธัญพืชอื่น ๆ ในอาหารต่าง ๆ ได้ นี่คือวิธีการบริโภคควินัวที่นิยม
1. การเตรียมเมล็ดควินัว
– ล้างเมล็ดควินัว ก่อนการปรุง ควรล้างเมล็ดควินัวใต้น้ำเย็นเพื่อขจัดสาร saponin ซึ่งเป็นสารที่มีรสขมและป้องกันการถูกกินโดยศัตรูพืช
– การต้มควินัว ใช้สัดส่วนควินัวต่อน้ำในอัตรา 1 ต่อ 2 (เช่น 1 ถ้วยควินัวต่อน้ำ 2 ถ้วย) นำควินัวและน้ำใส่ในหม้อ ตั้งไฟจนเดือด แล้วลดไฟลง ปิดฝาและต้มประมาณ 15-20 นาทีจนเมล็ดควินัวนุ่มและน้ำทั้งหมดถูกดูดซึม
2. การบริโภคในมื้อเช้า

– ควินัวกับผลไม้และโยเกิร์ต ผสมควินัวที่ต้มสุกกับโยเกิร์ตและผลไม้สด เช่น เบอร์รี่ กล้วย และน้ำผึ้ง เพื่อเพิ่มความหวาน
– ควินัวกับโจ๊ก ต้มควินัวในนม (สามารถใช้นมถั่วเหลืองหรือนมอัลมอนด์) แล้วเพิ่มเครื่องปรุงเช่น อบเชย วานิลลา และน้ำผึ้ง
3. การใช้ในสลัด
– สลัดควินัว ผสมควินัวที่ต้มสุกกับผักสด เช่น มะเขือเทศ แตงกวา พริกหวาน และใบโหระพา เพิ่มน้ำมันมะกอก น้ำมะนาว เกลือ และพริกไทย เพื่อเพิ่มรสชาติ
– สลัดเมดิเตอร์เรเนียน ผสมควินัวกับผักชีฝรั่ง มะเขือเทศ มะกอก และเฟต้าชีส เพิ่มน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว
4. การใช้แทนข้าวหรือพาสต้า

– ควินัวเป็นอาหารข้างเคียง ใช้ควินัวแทนข้าวในมื้ออาหารหลัก เช่น เสิร์ฟกับปลา เนื้อสัตว์ หรือผักอบ
– ควินัวผัด ผัดควินัวที่ต้มสุกกับผักต่าง ๆ เช่น แครอท พริกหวาน หัวหอม และถั่วลันเตา เพิ่มซอสถั่วเหลืองและกระเทียมเพื่อเพิ่มรสชาติ
5. การทำซุปและสตู
– ซุปควินัว เพิ่มควินัวที่ต้มสุกลงในซุปผักหรือซุปไก่เพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัสและคุณค่าทางโภชนาการ
– สตูว์ควินัว ผสมควินัวในสตูว์เนื้อหรือผักเพื่อเพิ่มโปรตีนและสารอาหาร
6. การทำขนมหวาน

– ควินัวพุดดิ้ง ต้มควินัวในนมและน้ำตาลจนข้น เติมเครื่องปรุงเช่น วานิลลา อบเชย และลูกเกด หรือผลไม้แห้ง
– บาร์ควินัว ผสมควินัวกับข้าวโอ๊ต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ น้ำผึ้ง และช็อกโกแลตชิป เพื่อทำเป็นบาร์พลังงาน
การบริโภคควินัวในหลากหลายรูปแบบไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความหลากหลายในมื้ออาหาร แต่ยังช่วยให้ได้รับคุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วนจากพืชชนิดนี้
เมล็ดควินัวจำเป็นต้องบดก่อนรับประทานไหม
1. ทำแป้งควินัว การบดเมล็ดควินัวให้เป็นแป้งสามารถใช้แทนแป้งข้าวสาลีในสูตรอาหารที่ปราศจากกลูเตน เช่น ขนมปัง เค้ก และคุกกี้ แป้งควินัวให้เนื้อสัมผัสและรสชาติที่ดี รวมถึงเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
2. เพิ่มในสมูทตี้ ควินัวที่บดละเอียดสามารถเพิ่มในสมูทตี้เพื่อเพิ่มโปรตีนและไฟเบอร์ โดยไม่ทำให้เนื้อสัมผัสของสมูทตี้เปลี่ยนไปมากนัก
3. ทำเป็นผงโปรตีน การบดควินัวเป็นผงโปรตีนสามารถนำไปใช้ในการทำโปรตีนเชคหรือผสมในอาหารต่าง ๆ เพื่อเพิ่มปริมาณโปรตีน
แต่ถ้าต้องการบริโภคควินัวแบบที่นิยมทั่วไป เช่น ต้มเพื่อใช้ในสลัดหรือเสิร์ฟเป็นอาหารข้างเคียง การบดไม่จำเป็น เนื่องจากเมล็ดควินัวที่ต้มแล้วมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและอร่อยเพียงพอ
ดังนั้น คำตอบสั้น ๆ คือ ไม่จำเป็นต้องบดเมล็ดควินัวสำหรับการบริโภคทั่วไป ยกเว้นเมื่อมีความต้องการพิเศษ เช่น ทำแป้งควินัวหรือผงโปรตีน
ข้อควรระวังในการบริโภค
การบริโภคควินัว (Quinoa) แม้จะมีประโยชน์ทางโภชนาการสูง แต่ก็มีข้อควรระวังที่ควรทราบเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพหรือความไม่สะดวกในการบริโภค ต่อไปนี้คือข้อควรระวังที่สำคัญ
1. การล้างควินัวก่อนปรุง เมล็ดควินัวมีสาร saponin ที่เป็นสารธรรมชาติที่มีรสขมและสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร การล้างควินัวใต้น้ำเย็นก่อนการปรุงจะช่วยขจัดสาร saponin ออกไป
2. การแพ้หรือการแพ้แฝง แม้ว่าควินัวจะเป็นพืชที่ไม่ค่อยก่อให้เกิดการแพ้ แต่บางคนอาจมีอาการแพ้หรือการแพ้แฝงได้ ควรเริ่มบริโภคในปริมาณน้อยเพื่อสังเกตอาการ เช่น ผื่นคัน ปวดท้อง หรืออาการแพ้อื่น ๆ
3. การบริโภคไฟเบอร์มากเกินไป ควินัวมีไฟเบอร์สูง การบริโภคไฟเบอร์มากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสีย ควรเพิ่มปริมาณการบริโภคควินัวทีละน้อยเพื่อให้ร่างกายปรับตัว
4. การจัดเก็บและอายุการเก็บรักษา ควรเก็บควินัวในภาชนะที่ปิดสนิทและเก็บในที่แห้งและเย็น เพื่อป้องกันความชื้นและแมลง ควินัวที่เก็บไม่ถูกวิธีอาจเกิดเชื้อราและมีคุณภาพลดลง
5. ควบคุมปริมาณการบริโภค แม้ควินัวจะเป็นอาหารที่มีประโยชน์ แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้ได้รับพลังงานเกินความต้องการของร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนัก
6. สังเกตอาการผิดปกติ หากมีอาการผิดปกติหลังการบริโภคควินัว เช่น ปวดท้อง รู้สึกไม่สบาย หรืออาการแพ้ ควรหยุดบริโภคและปรึกษาแพทย์
7. เลือกควินัวที่มีคุณภาพ ควรเลือกซื้อควินัวจากแหล่งที่เชื่อถือได้และตรวจสอบวันหมดอายุบนบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย
สารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดควินัว
เมล็ดควินัว (Quinoa) มีสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการป้องกันความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ต่อไปนี้คือสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในเมล็ดควินัว
1. เควอซิทิน (Quercetin)
– เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านมะเร็ง
– ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
2. เคมเฟอรอล (Kaempferol)
– เป็นสารฟลาโวนอยด์อีกชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง และต้านเชื้อแบคทีเรีย
– ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังและเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม
3. กรดเฟรูลิก (Ferulic Acid)
– เป็นสารฟีนอลิกที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูง
– ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง
4. กรดไฟติก (Phytic Acid)
– แม้ว่าเป็นสารที่ลดการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดในลำไส้ แต่กรดไฟติกยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
– ช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
5. เบตาเลน (Betalains)
– สารต้านอนุมูลอิสระประเภทเบตาเลนที่พบในเมล็ดควินัวมีบทบาทในการป้องกันการอักเสบและความเสียหายของเซลล์
– ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง
6. กรดแกลลิก (Gallic Acid)
– เป็นสารฟีนอลิกที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง
– ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง
ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระของเมล็ดควินัว
สารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดควินัวมีประโยชน์หลากหลายที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคต่าง ๆ ต่อไปนี้คือประโยชน์ที่สำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดควินัว
1. ป้องกันความเสียหายของเซลล์
– สารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย
– การลดความเสียหายของเซลล์ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและสัญญาณของการชรา
2. ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
– สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เควอซิทินและเคมเฟอรอล มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง และโรคเบาหวาน
– สารเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบและปรับปรุงสุขภาพโดยรวม
3. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
– สารต้านอนุมูลอิสระช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
– การมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อ
4. ปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
– สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
– การลดการอักเสบในหลอดเลือดช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือดและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
5. ป้องกันการอักเสบ
– สารต้านอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคข้ออักเสบและโรคอักเสบเรื้อรังอื่น ๆ
– การลดการอักเสบช่วยปรับปรุงสุขภาพทั่วไปและลดความเจ็บปวด
6. ปกป้องสมองและระบบประสาท
– สารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องเซลล์ประสาทจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์และพาร์กินสัน
– การลดการอักเสบในสมองช่วยเสริมสร้างความจำและการทำงานของสมอง
7. ปรับปรุงสุขภาพผิว
– สารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดดและมลพิษ ช่วยลดการเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำ
– การบริโภคควินัวเป็นประจำช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสและมีสุขภาพดี
8. ส่งเสริมสุขภาพลำไส้
– สารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องเยื่อบุลำไส้จากความเสียหายและการอักเสบ
– การลดการอักเสบในลำไส้ช่วยปรับปรุงการย่อยอาหารและสุขภาพลำไส้โดยรวม
แร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีในเมล็ด ควินัว
1. แมกนีเซียม (Magnesium)
– ช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
– มีส่วนช่วยในการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง
– มีบทบาทในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิต
– ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
2. ฟอสฟอรัส (Phosphorus)
– สำคัญในการสร้างและบำรุงรักษากระดูกและฟัน
– มีบทบาทในการเก็บและใช้พลังงานในร่างกาย
– ช่วยในการทำงานของระบบเซลล์ต่าง ๆ
3. แมงกานีส (Manganese)
– เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ที่สำคัญในการสังเคราะห์สารอาหารและต้านอนุมูลอิสระ
– ช่วยในการสร้างกระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
– มีบทบาทในการควบคุมการเผาผลาญของคาร์โบไฮเดรตและไขมัน
4. เหล็ก (Iron)
– จำเป็นต่อการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีหน้าที่นำออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
– ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
– มีบทบาทในการสร้างพลังงานจากสารอาหาร
5. สังกะสี (Zinc)
– มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
– ช่วยในการทำงานของเอนไซม์และระบบภูมิคุ้มกัน
– มีส่วนช่วยในการรับรู้รสชาติและกลิ่น
6. ทองแดง (Copper)
– ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
– มีบทบาทในการเผาผลาญพลังงานจากอาหาร
– ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและผิวหนัง
7. โพแทสเซียม (Potassium)
– มีบทบาทในการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
– ช่วยควบคุมความดันโลหิตและสมดุลน้ำในร่างกาย
– มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด
8. แคลเซียม (Calcium)
– สำคัญต่อการสร้างและรักษากระดูกและฟันให้แข็งแรง
– มีบทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
– ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและการทำงานของเอนไซม์
9. เซเลเนียม (Selenium)
– มีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
– ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
– ช่วยในการทำงานของต่อมไทรอยด์
10. โซเดียม (Sodium)
– ช่วยควบคุมสมดุลน้ำและเกลือในร่างกาย
– มีบทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
– ช่วยในการควบคุมความดันโลหิต
ลักษณะโปรตีนในเมล็ดควินัว
1. โปรตีนครบถ้วน (Complete Protein)
– ควินัวเป็นหนึ่งในพืชไม่กี่ชนิดที่มีโปรตีนครบถ้วน หมายความว่ามันมีกรดอะมิโนจำเป็นทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบได้ทั่วไปในโปรตีนจากสัตว์
– กรดอะมิโนจำเป็นที่พบในควินัว ได้แก่ ไลซีน เมไธโอนีน ทรีโอนีน และวาลีน ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย
2. กรดอะมิโนจำเป็น (Essential Amino Acids)
– เมล็ดควินัวมีกรดอะมิโนจำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงไลซีนที่มักขาดแคลนในธัญพืชอื่น ๆ
– กรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างโปรตีนในร่างกายและการทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น ระบบภูมิคุ้มกันและระบบฮอร์โมน
3. ปริมาณโปรตีนสูง
– เมล็ดควินัวมีปริมาณโปรตีนสูงเมื่อเทียบกับธัญพืชอื่น ๆ โดยทั่วไป ควินัวมีโปรตีนประมาณ 14-18% ของน้ำหนักแห้ง
– ปริมาณโปรตีนที่สูงทำให้ควินัวเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มโปรตีนจากพืชในอาหาร เช่น ผู้ที่เป็นมังสวิรัติหรือวีแกน
4. ย่อยง่าย
– โปรตีนในควินัวสามารถย่อยได้ง่ายและดูดซึมได้ดีในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายสามารถใช้โปรตีนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– ความสามารถในการย่อยง่ายนี้ยังช่วยลดโอกาสในการเกิดอาการไม่สบายท้องหรือแพ้อาหาร
5. การสนับสนุนการเจริญเติบโตและการซ่อมแซม
– โปรตีนจากควินัวมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ
– การบริโภคโปรตีนที่มีคุณภาพสูงช่วยในการฟื้นตัวของร่างกายหลังการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมาก
6. ความหลากหลายในการใช้ประโยชน์
– โปรตีนในควินัวสามารถใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการปรุงอาหารแบบต้ม อบ ผัด หรือใช้ในการทำขนมปัง ขนมอบ หรือบาร์โปรตีน
– ความยืดหยุ่นนี้ทำให้ควินัวเป็นส่วนประกอบที่สามารถรวมเข้ากับอาหารต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย
ลักษณะไขมันในเมล็ดควินัว
1. ปริมาณไขมันต่ำ
– เมล็ดควินัวมีปริมาณไขมันต่ำเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น ๆ ซึ่งทำให้มันเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณไขมันในอาหาร
– โดยทั่วไป เมล็ดควินัวมีไขมันประมาณ 5-6% ของน้ำหนักแห้ง
2. ไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fats)
– ส่วนใหญ่ของไขมันในควินัวเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งรวมถึงกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fats) และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fats)
– ไขมันไม่อิ่มตัวเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL)
3. กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids)
– ควินัวมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ
– กรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ ลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวานชนิดที่ 2
4. กรดไขมันโอเมก้า-6 (Omega-6 Fatty Acids)
– นอกจากโอเมก้า-3 ควินัวยังมีกรดไขมันโอเมก้า-6 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำงานของเซลล์และระบบภูมิคุ้มกัน
– การบริโภคกรดไขมันโอเมก้า-6 ในปริมาณที่เหมาะสมช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี แต่ควรรักษาสมดุลกับการบริโภคโอเมก้า-3
5. วิตามินอี (Vitamin E)
– ควินัวมีวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
– วิตามินอีช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ
6. ประโยชน์ต่อสุขภาพ
– ไขมันที่พบในควินัวมีประโยชน์ในการสนับสนุนการทำงานของสมองและระบบประสาท ช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
– ไขมันไม่อิ่มตัวในควินัวช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ประโยชน์ของไขมันในเมล็ดควินัว
1. ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ
– ไขมันไม่อิ่มตัวในเมล็ดควินัวช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
– กรดไขมันโอเมก้า-3 ที่พบในควินัวมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
2. ลดการอักเสบ
– กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เช่น โอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 มีบทบาทสำคัญในการลดการอักเสบในร่างกาย
– การลดการอักเสบช่วยป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคข้ออักเสบ โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน
3. ส่งเสริมสุขภาพสมองและระบบประสาท
– กรดไขมันโอเมก้า-3 มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของสมองและระบบประสาท
– ช่วยเสริมสร้างความจำและการทำงานของสมอง รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
4. เสริมสร้างสุขภาพผิว
– ไขมันที่มีคุณภาพดีในควินัว เช่น วิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระและแสงแดด
– ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้นและลดการเกิดริ้วรอย
5. สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
– ไขมันไม่อิ่มตัวมีบทบาทในการสร้างสารต้านการอักเสบที่สำคัญในร่างกาย ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อ
6. ช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน
– ไขมันในควินัวช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E และ K ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายหลายระบบ
7. เสริมสร้างการเผาผลาญพลังงาน
– กรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 มีบทบาทในการเผาผลาญพลังงานและการทำงานของเซลล์
– ช่วยในการสร้างพลังงานและการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกาย
8. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
– ไขมันไม่อิ่มตัวช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2
ความนิยมในการรับประทานเพื่อต้านโรคต่าง ๆ
การบริโภคควินัว (Quinoa) มีความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลกเนื่องจากคุณค่าทางโภชนาการสูงและประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ ควินัวเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในการช่วยป้องกันและต้านโรคต่าง ๆ ดังนี้
1. โรคหัวใจและหลอดเลือด
– ควินัวมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL)
– ไฟเบอร์สูงในควินัวช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและปรับปรุงสุขภาพหัวใจ
2. โรคเบาหวาน
– ควินัวมีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low Glycemic Index) ซึ่งช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
– การบริโภคควินัวช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากไฟเบอร์ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด
3. โรคมะเร็ง
– สารต้านอนุมูลอิสระในควินัว เช่น เควอซิทินและเคมเฟอรอล ช่วยป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
– ไฟเบอร์ในควินัวช่วยในการขับถ่ายสารพิษออกจากร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
4. โรคอักเสบ
– กรดไขมันโอเมก้า-3 และสารต้านอนุมูลอิสระในควินัวมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
– ช่วยบรรเทาอาการของโรคอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบ
5. โรคทางเดินอาหาร
– ไฟเบอร์สูงในควินัวช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ลดอาการท้องผูกและป้องกันโรคเกี่ยวกับลำไส้
– การบริโภคควินัวช่วยสนับสนุนสุขภาพของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งสำคัญต่อการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร
6. โรคอ้วน
– การบริโภคควินัวช่วยให้รู้สึกอิ่มนานและลดการบริโภคแคลอรี่ซึ่งช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
– โปรตีนและไฟเบอร์ในควินัวช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อและลดปริมาณไขมันในร่างกาย
7. โรคสมองเสื่อม
– กรดไขมันโอเมก้า-3 ในควินัวช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์
– สารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องเซลล์ประสาทจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ
8. โรคเกี่ยวกับกระดูกและฟัน
– แร่ธาตุเช่นแมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และแคลเซียมในควินัวช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
– การบริโภคควินัวช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนและฟันผุ
การบริโภคควินัวเป็นประจำเป็นส่วนหนึ่งของการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพและสมดุล ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและป้องกันโรคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพและผู้ที่ต้องการป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ